Skip to content

ถึงแม้ว่า Google มีความฉลาดแตกต่างจากมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน Google ทำการจัดดัชนีหน้าเว็บหลาย1000 หน้าในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นยังไม่สามารถทำได้ อัลกอริทึมการค้นหาของมันนั้นบ่อยครั้งที่พบว่ามีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์ และเนื้อหาที่ Duplicate นั้นส่งผลเสียต่อ SEOอาจทำให้อันดับเว็บไซต์คุณตกลง

อะไรคือ Duplicate Content

สำหรับความหมายนั้นตรงตามชื่อเลยครับ คำว่า “เนื้อหาซ้ำ” (duplicate content) หมายถึงเนื้อหาเดียวกันแม้จะปรากฏอยู่ใน URL ที่แตกต่างกัน ไม่ว่า URL นั้นจะอยู่ภายใต้โดเมนเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ yourdomain.com/a และ example.com/b มีเนื้อหาที่ตรงกันเป๊ะ แล้ว Google จะตรวจจับและระบุว่าเป็น “เนื้อหาซ้ำ” (Duplicate Content) นั่นเอง.

เนื้อหาที่ซ้ำกันสามารถส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไร

– เว็บไซต์ของคุณอาจมีอันดับที่ต่ำลงในผลการค้นหา เมื่อ Google ตรวจพบเนื้อหาซ้ำในหลาย URL อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับให้ลดลง เนื่องจาก Google พยายามแสดงผลการค้นหาที่หลากหลายและไม่ซ้ำซาก

– ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี ผู้ใช้ที่พบเนื้อหาซ้ำกันบนหลายหน้าเว็บอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือสับสน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดอัตราการคงอยู่ (retention rate) และอัตราการเข้าชม (conversion rate) บนเว็บไซต์ของคุณ

– หากคุณมีโดเมนย่อยสำหรับมือถือ (mobile subdomain) แยกต่างหากจากเว็บไซต์หลัก จำนวนเนื้อหาที่ซ้ำกันอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หมายความว่าหากคุณมีเวอร์ชันของเว็บไซต์สำหรับมือถือและเดสก์ท็อปที่มีเนื้อหาเหมือนกัน คุณอาจกำลังสร้างเนื้อหาซ้ำในทั้ง 2 แพลตฟอร์ม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของคุณในผลการค้นหาและสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้.

วิธีจัดการกับ Duplicate Content

มีเครื่องมือ SEO ใหม่ ๆ หลายตัวที่มีฟังก์ชั่นการตรวจสอบเนื้อหาที่ซ้ำกัน หากคุณพบว่ามีเนื้อหาที่ซ้ำกันก็ยังมีวิธีหลายวิธีที่จะช่วยกำจัดเนื้อหาเหล่านั้นก่อนที่มันจะส่งผลร้ายต่อเว็บไซต์ได้

1.NoIndex หน้าหมวดหมู่ (Category Pages)

การที่ไม่ให้หน้าหมวดหมู่ (Category Pages) ถูกจัดดัชนีโดยเครื่องมือค้นหา หมายความว่าเราไม่อนุญาตให้หน้าเว็บที่แสดงรายการบทความตามหมวดหมู่ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของเรา ปรากฏอยู่ในผลการค้นหาของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ

เหตุผลที่ทำเช่นนี้เพราะว่าเมื่อเครื่องมือค้นหาดัชนีหน้าหมวดหมู่ อาจทำให้เกิดปัญหาเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกัน เพราะหากคุณมีบทความที่มีชื่อว่า “คู่มือเรื่องความปลอดภัยของ WordPress” และบทความนั้นถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ “Security” ก็จะเกิดการอินเด็กทั้งหน้าบทความเฉพาะและหน้าหมวดหมู่นั้นๆ ด้วย โดยมีทั้งชื่อบทความและส่วนย่อของเนื้อหาปรากฏอยู่ ซึ่งทำให้เนื้อหาเดียวกันนี้สามารถเข้าถึงได้จาก URL 2 ที่ที่แตกต่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือมันซ้ำซ้อนกันนั่นเอง

ดังนั้นจึงต้องตัดปัญหาด้วยการไม่ให้หน้าหมวดหมู่ถูก Index คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อนได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสถานะของเว็บไซต์ในอนาคต

2 .No Index Tags Pages

การใช้แท็กเป็นวิธีที่ดีในการจัดระเบียบเว็บไซต์ของคุณ แต่การทำดัชนีแท็กนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีการที่ไม่ดีต่อการทำ SEO ในทางอ้อมในกรณีที่มีบทความกอบปี้มา

คุณสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการตั้งค่าไม่ให้หน้าแท็ก (tags pages) ปรากฏในผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า noindexing tags pages อย่างที่เราได้กล่าวไว้ว่าปลั๊กอิน WordPress อย่าง Yoast SEO จัดการเรื่องนี้ได้ และสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ปลั๊กอิน SEO ส่วนใหญ่จะมีตัวเลือกให้ตั้งค่า noindex สำหรับหน้าแท็กอยู่แล้ว

การตั้งค่า noindex สำหรับแท็กใน Yoast SEO

ถ้าคุณติดตั้ง Yoast SEO อยู่แล้ว ให้ไปที่เมนู ‘Search Appearance’ หรือ ‘การแสดงผลการค้นหา’

จากนั้นเลือกไปที่ ‘Taxonomies’ หรือ ‘หมวดหมู่ข้อมูล’

เลื่อนไปยังด้านที่เขียนว่า No ตามรูปภาพด้านล่างนี้ เป็นขั้นตอนการปฏิบัติง่ายๆ ผ่านปลั๊กอินที่มีชื่อเสียงด้าน SEO ที่เรารู้จักกันดี

3. Noindex tags in SEO framework

SEO Framework เป็นปลั๊กอินที่มีความนิยมมากในปัจจุบันสำหรับการทำ SEO เช่นกัน คุณสามารถปิดการตั้งค่าดัชนีของแท็กโดยใช้ปลั๊กอินนี้

ขั้นตอนที่ 1: ไปที่เมนูการตั้งค่าของ SEO framework และไปที่หัวข้อ Canonical

ขั้นตอนที่ 2: เลื่อนลงมาจนกว่าคุณจะพบการตั้งค่า Robots Meta >> การดัชนี (Indexing)

“ขั้นตอนที่ 3: เลือกตัวเลือกที่ 2 และกดบันทึก

โดยรวมแล้วปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่ซ้ำกันใน WordPress ส่วนใหญ่สามารถตรวจสอบและแก้ไขได้ง่ายด้วยวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น คุณจะสามารถหวังผลอันดับการค้นหาให้มาแบบออร์แกนิกได้ตามที่คุณต้องการ. หากทำขั้นตอนนี้แล้ว

Back To Top
Search