Skip to content

การเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress มีหลายขั้นตอนที่ควรทำเพื่อเพิ่มความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานกับแพลตฟอร์ม WordPress ได้ดียิ่งขึ้น และนี่คือขั้นตอนที่สามารถทำเพื่อเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress

โพสนี้ยาว มีหัวข้ออะไรบ้าง แสดงหัวข้อทั้งหมด

เรียนรู้ภาษา HTML, CSS, และ JavaScript :

  • HTML ใช้สำหรับสร้างโครงสร้างของหน้าเว็บ
  • CSS ใช้สำหรับการจัดรูปแบบและการจัดวาง
  • JavaScript ใช้สำหรับเพิ่มความพึงพอใจและฟังก์ชันที่เพิ่มเติม

การเรียนรู้ภาษา HTML, CSS, และ JavaScript เป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress ต่อไปนี้คือขั้นตอนและเคล็ดลับสำหรับการเรียนรู้แต่ละภาษา

1. HTML (HyperText Markup Language)

  • สร้างโครงสร้างหน้าเว็บ: เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้การใช้แท็ก HTML เพื่อสร้างโครงสร้างของหน้าเว็บ
  • ศึกษาแท็กที่ใช้บ่อย: แท็กพื้นฐานเช่น <div>, <p>, <h1> และอื่น ๆ
  • การให้ความหมายในแท็ก: เรียนรู้การให้ความหมายในแท็ก, เช่น การใช้แท็ก <a> สำหรับลิงก์, <img> สำหรับรูปภาพ, และอื่น ๆ

2. CSS (Cascading Style Sheets)

  • ทำความเข้าใจการเลือกองค์ประกอบ: เรียนรู้เกี่ยวกับเลือกองค์ประกอบด้วยเลือกตั้งซ้อน (nested selectors) และความสามารถในการเลือกองค์ประกอบที่แตกต่าง
  • การใช้ Properties และ Values: เรียนรู้วิธีใช้ properties เช่น margin, padding, color, font-size และ values ที่เกี่ยวข้อง
  • Responsive Design: ทำความเข้าใจการสร้างหน้าเว็บที่เปลี่ยนรูปแบบตามขนาดของหน้าจอ (responsive design)

3. JavaScript

  • ศึกษาภาษา JavaScript: ทำความเข้าใจรากฐานของ JavaScript และสไตล์การเขียนโค้ด
  • DOM Manipulation: เรียนรู้การแก้ไขโครงสร้างของหน้าเว็บโดยใช้ Document Object Model (DOM)
  • เรียนรู้เกี่ยวกับ Events: ทำความเข้าใจการใช้งาน events เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองได้

เคล็ดลับการเรียนรู้:

  • โปรเจ็กต์ทำนายตัวอย่าง: สร้างโปรเจ็กต์น้อย ๆ เพื่อฝึกทักษะที่ได้เรียนรู้ นี่อาจเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจ
  • อ่านและทดลองโค้ดอื่น ๆ: อ่านโค้ดจากโปรเจ็กต์อื่น ๆ ที่เป็นที่เชื่อถือได้บน GitHub เพื่อเรียนรู้แนวคิดและแนวทางการเขียนโค้ดที่ดี และต่อยอดต่อไปในอนาคต
  • ทดลองทำโปรเจ็กต์บน WordPress: สร้างหน้าเว็บง่าย ๆ หรือปรับแต่งธีม WordPress เพื่อฝึกทักษะการใช้ HTML, CSS, และ JavaScript ในแนวทางของ WordPress

การศึกษาและฝึกฝนในภาษาเหล่านี้จะช่วยให้ชำนาญเพื่อเป็นการปูพื้นฐานที่ดีในการเป็นนักพัฒนา WordPress


ทำความเข้าใจ WordPress:

  • อ่านเอกสารและทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของ WordPress, มีการทำงานกับฐานข้อมูล, และโค้ดพื้นฐานของ WordPress

ศึกษาโครงสร้างของ WordPress:

  • ทำความเข้าใจถึงโครงสร้างของ WordPress ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนหลัก ๆ คือ Core, Themes, Plugins, Database, Users, และอื่น ๆ

2. อ่าน WordPress Codex:

  • WordPress Codex เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ที่สำคัญที่มีเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนา WordPress อ่านที่ https://codex.wordpress.org/ และเรียนรู้เกี่ยวกับ Functions, Handle, Hook และวิธีการใช้งานต่าง ๆ

3. ทดลองติดตั้งและใช้ WordPress:

  • ทดลองติดตั้ง WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งาน (local server) หรือในระบบสร้างเว็บที่ให้บริการ (hosted server) เพื่อทดสอบและเรียนรู้การทำงานของ WordPress

เรียนรู้ภาษา PHP:

  • PHP เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งหลักที่ใช้ในการพัฒนา WordPress ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของ PHP และการใช้งานในที่เชื่อมโยงกับ WordPress

การเรียนรู้ภาษา PHP เพื่อเป็นนักพัฒนา WordPress เป็นขั้นตอนสำคัญ เนื่องจาก PHP เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งหลักที่ใช้ในการพัฒนาธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) ของ WordPress ต่อไปนี้คือขั้นตอนและแนวทางที่จะช่วยในการเรียนรู้ภาษา PHP สำหรับการพัฒนา WordPress

1. เริ่มต้นด้วยพื้นฐานของ PHP:

  • ติดตั้ง PHP: ทำการติดตั้ง PHP บนเครื่องของที่จะพัฒนาหรือใช้สภาพแวดล้อมพัฒนาเช่น XAMPP, WAMP, หรือ MAMP
  • Hello World: ทดลองเขียนโปรแกรม Hello World ใน PHP เพื่อทดสอบว่า PHP ทำงานได้ถูกต้อง
  • สั่งพิมพ์และตัวแปร: เรียนรู้เกี่ยวกับคำสั่ง echo/print และการใช้ตัวแปรใน PHP

2. การทำงานกับตัวแปรและประเภทข้อมูล:

  • ประเภทข้อมูล: เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทข้อมูลต่าง ๆ ใน PHP เช่น string, integer, float, boolean
  • การทำงานกับตัวแปร: ทดลองใช้ตัวแปรใน PHP และเข้าใจถึงขอบเขตและการชี้ตัวแปร

3. โครงสร้างควบคุม:

  • เงื่อนไข (Conditionals): ศึกษาการใช้ if, else, elseif ใน PHP เพื่อทำการตรวจสอบเงื่อนไข
  • ลูป (Loops): เรียนรู้เกี่ยวกับลูป for, while, do-while เพื่อการทำงานที่ซ้ำ

4. ฟังก์ชันและการจัดการข้อผิดพลาด:

  • การสร้างและใช้งานฟังก์ชัน: เรียนรู้วิธีการสร้างและใช้งานฟังก์ชันใน PHP
  • การจัดการข้อผิดพลาด: ทดลองใช้ try-catch block เพื่อจัดการกับข้อผิดพลาด

5. การทำงานกับฐานข้อมูล MySQL:

  • การเชื่อมต่อกับ MySQL Database: เรียนรู้วิธีการเชื่อมต่อ PHP กับ MySQL Database และดึงข้อมูล
  • การจัดการข้อมูลในฐานข้อมูล: ทดลองเพิ่ม, แก้ไข, และลบข้อมูลในฐานข้อมูล MySQL โดยใช้ PHP.\

6. การเรียนรู้และใช้ WordPress API:

  • WordPress Codex: อ่านเอกสารใน WordPress Codex เกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชันและ API ที่ให้มา
  • การใช้ WordPress Hooks: เรียนรู้เกี่ยวกับ WordPress Hooks เพื่อทำการปรับแต่งธีมและปลั๊กอิน

7. สร้าง Themes และ Plugins:

  • สร้างธีม WordPress: ทดลองสร้างธีม WordPress พื้นฐานโดยใช้ PHP, HTML, CSS, และ JavaScript
  • สร้างปลั๊กอิน WordPress: ทดลองสร้างปลั๊กอินที่เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress

8. การทดสอบและปรับแต่ง:

  • การทดสอบ: ทดสอบ Themes และ Plugins ในสภาพแวดล้อมการพัฒนา
  • ปรับแต่ง: ปรับแต่ง Themes และ Plugins ในกรณีที่ต้องการปรับแต่งหรือเพิ่มเติม

9. การเรียนรู้จากทรัพยากรอื่น ๆ:

  • เข้าร่วมชุมชน: เข้าร่วมชุมชน WordPress บนเว็บไซต์, แฟนเพจ, หรือฟอรั่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
  • อ่านบทความและรีวิว: อ่านบทความและรีวิวจากนักพัฒนา WordPress ที่มีประสบการณ์

การเรียนรู้ PHP สำหรับการพัฒนา WordPress จะช่วยให้สามารถสร้าง Themes และ Plugins ที่สอดคล้องกับมาตรฐานของ WordPress และให้มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของระบบ WordPress


ทำความเข้าใจธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) ของ WordPress

  • ศึกษาวิธีการสร้างธีม WordPress และปลั๊กอินต่าง ๆ ที่เพิ่มฟังก์ชันในระบบ
image url : Premium WordPress Themes & Plugins | BNE Creative

ในโลกของ WordPress, ธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำหนดรูปแบบและเพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับทั้งธีมและปลั๊กอิน:

1. ธีม (Themes):

1.1 คำอธิบาย:

ธีมคือกลุ่มของไฟล์และรหัสที่กำหนดรูปแบบ การจัดวาง, และสไตล์สำหรับเว็บไซต์ WordPress ที่ต้องการสร้าง ธีมมีผลต่อทุกส่วนของเว็บไซต์, รวมถึงหน้าหลัก, หน้าเรื่อง, หน้าเนื้อหา, และหน้าหมวดหมู่

1.2 ส่วนประกอบหลักของธีม:

  • ไฟล์สำคัญ:
    • style.css: รหัส CSS ที่ใช้กำหนดรูปแบบของธีม
    • index.php: ไฟล์หลักที่ใช้ในการแสดงผลหน้าหลักของเว็บไซต์
    • header.php, footer.php, sidebar.php: ไฟล์ที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างของหน้าเว็บ
  • รูปภาพและไฟล์สื่อ:
    • ธีมสามารถรวมรูปภาพ, ไฟล์สื่อ, และไฟล์อื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีลักษณะเฉพาะ
  • ฟังก์ชัน:
    • ธีมสามารถมีฟังก์ชันเพิ่มเติมที่กำหนดโดยนักพัฒนาได้

1.3 การสร้างและใช้ธีม:

  • สร้างธีม:
    • สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี wp-content/themes/ และสร้างไฟล์ style.css ด้วยข้อมูลพื้นฐาน
    • นำเข้ารูปภาพ, ไฟล์ CSS, และสร้างไฟล์ PHP ต่าง ๆ ตามโครงสร้างตามที่ต้องการได้
  • เปลี่ยนธีม:
    • ในแดชบอร์ด WordPress, ไปที่ “เมนู > รูปหลัง > ธีม” เพื่อเปลี่ยนหรือเลือกธีมที่ต้องการใช้งาน

2. ปลั๊กอิน (Plugins):

2.1 คำอธิบาย:

ปลั๊กอินเป็นโปรแกรมเสริมที่เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress สามารถเพิ่มฟังก์ชันทั้งหมดตั้งแต่การปรับแต่งส่วนบางตัวของ WordPress จนถึงการเพิ่มฟังก์ชันที่ทำงานกับฐานข้อมูล

2.2 ส่วนประกอบหลักของปลั๊กอิน:

  • ไฟล์หลัก:
    • plugin-name.php: ไฟล์หลักที่ WordPress จะโหลดเมื่อปลั๊กอินถูกเปิดใช้งาน
  • ไฟล์ส่วนประกอบอื่น ๆ:
    • ภายในโฟลเดอร์ของปลั๊กอิน, มีไฟล์เสริมที่เกี่ยวข้อง เช่น CSS, JavaScript, หรือไฟล์ภาษา
  • ฟังก์ชัน:
    • ปลั๊กอินมีฟังก์ชันที่สามารถถูกเรียกใช้โดย WordPress เพื่อทำงานเฉพาะ

2.3 การสร้างและใช้ปลั๊กอิน:

  • สร้างปลั๊กอิน:
    • สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี wp-content/plugins/ และสร้างไฟล์หลัก plugin-name.php ด้วยข้อมูลพื้นฐาน
  • เปิดใช้งานปลั๊กอิน:
    • ในแดชบอร์ด WordPress, ไปที่ “ปลั๊กอิน” เพื่อเปิดหรือปิดใช้งานปลั๊กอินที่สร้างไว้แล้วตามต้องการ.

3. ความแตกต่างระหว่างธีมและปลั๊กอิน:

  • ธีม:
  • กำหนดรูปแบบ, การจัดวาง, และสไตล์ของเว็บไซต์
  • มีผลต่อด้านทั้งหมดของเว็บไซต์
  • มีไฟล์หลักคือ style.css, index.php, header.php, footer.php.
  • ปลั๊กอิน:
  • เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress
  • มีไฟล์หลักคือ plugin-name.php
  • มีทั้งโปรแกรมที่ทำงานอิสระและตรวจสอบและตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน WordPress

การเรียนรู้และใช้ธีมและปลั๊กอินใน WordPress จะช่วยให้สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามความต้องการและมีฟังก์ชันที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้


ใช้ WordPress Codex:

  • Codex เป็นทรัพยากรที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress อ่านและศึกษาเอกสารเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ

WordPress Codex เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ที่เป็นทางการของ WordPress ที่ให้ข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้และพัฒนา WordPress นี่คือคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ WordPress Codex:

1. ความหมายของ WordPress Codex:

  • เอกสารอย่างละเอียด: WordPress Codex ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานและพัฒนา WordPress นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
  • แหล่งข้อมูลทางการเรียนรู้: Codex เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับ WordPress มีบทความ, ตัวอย่างโค้ด, และเอกสารที่ชัดเจน

2. เนื้อหาหลักของ WordPress Codex:

  • Functions และ Handle: รายละเอียดเกี่ยวกับฟังก์ชันและแฮนด์ล์ที่ใช้ในการพัฒนา Themes และ Plugins
  • การใช้งาน WordPress: คู่มือเกี่ยวกับการติดตั้ง, การปรับแต่ง, และการใช้งานทั่วไปของ WordPress
  • สร้าง Themes และ Plugins: ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้าง Themes และ Plugins ทั้งในแง่มุมของการออกแบบและการเขียนโค้ด
  • การทำงานกับฐานข้อมูล: แนวทางการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL และการจัดการข้อมูลใน WordPress

3. การใช้งาน WordPress Codex:

  • การค้นหาข้อมูล: มีเครื่องมือค้นหาที่ช่วยให้หาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วมากขึ้น
  • การเข้าถึงลิงก์และเมนู: Codex มีการจัดหน้าเพื่อง่ายต่อการนำทาง, มีลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง
  • การอัพเดท: เนื้อหาใน WordPress Codex ถูกอัพเดทอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

4. ใช้ WordPress Codex ในการพัฒนา:

  • อ่านคู่มือและตัวอย่างโค้ด: Codex มีคู่มือและตัวอย่างโค้ดที่ช่วยในการเรียนรู้การพัฒนา
  • ความร่วมมือของชุมชน: ชุมชน WordPress มีนักพัฒนาที่เขียนเอกสารและให้คำแนะนำใน Codex
  • การแก้ไขและเสนอข้อมูล: นักพัฒนาสามารถเสนอข้อมูลเพิ่มเติมหรือแก้ไขใน Codex เพื่อแบ่งปันความรู้

WordPress Codex เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างมากเป็นขุมทรัพย์สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ WordPress ที่ต้องการ

ข้อมูลที่ถูกต้องและปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้งานและการพัฒนา WordPress การใช้ Codex จะช่วยให้เกิดความเข้าใจทั้งโครงสร้างและฟังก์ชันของ WordPress อย่างละเอียดและสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ


ทดสอบและทำความเข้าใจการใช้ Git:

  • Git เป็นระบบควบคุมเวอร์ชันที่สำคัญสำหรับทีมพัฒนา ทดลองใช้ Git สำหรับการจัดการโค้ดที่สร้างไว้

การใช้ Git เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา WordPress หรือในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน Git ช่วยให้นักพัฒนาทำงานร่วมกัน, ติดตามการเปลี่ยนแปลง, และดูประวัติของโค้ด นี่คือขั้นตอนและแนวทางที่ควรทราบเกี่ยวกับการใช้ Git เพื่อพัฒนา WordPress:

1. การเริ่มต้นใช้ Git:

  • การติดตั้ง Git:
    ทำการติดตั้ง Git บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการพัฒนา WordPress
  • การกำหนดค่าผู้ใช้:
    กำหนดค่าผู้ใช้ Git โดยใช้คำสั่ง:
    git config --global user.name "Your Name" git config --global user.email "[email protected]"

2. การสร้าง Repository:

  • การสร้าง Git Repository:
    สร้าง Git repository ในโปรเจค WordPress ที่ต้องการ
  • การเชื่อมต่อ Repository:
    เชื่อมต่อ repository ใน GitHub, GitLab, หรือบริการ Git อื่น ๆ

3. การทำงานกับ Branch:

  • การสร้าง Branch:
    สร้าง branch เพื่อทำงานแยกจาก branch หลัก
  • การเปลี่ยน Branch:
    เปลี่ยน branch เพื่อทำงานใน branch ที่ต้องการ

4. การทำงานกับการเปลี่ยนแปลง:

  • การสร้าง Commit:
    ทำการ commit เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่ทำไปแล้ว
  • การดูประวัติ Commit:
    ใช้คำสั่ง git log เพื่อดูประวัติ commit ทั้งหมด
  • การเปลี่ยน Commit:
    ถ้าต้องการเปลี่ยน commit ในอดีต, ใช้คำสั่ง git commit --amend

5. การทำงานกับ Remote Repository:

  • การเพิ่ม Remote Repository:
    เพิ่ม remote repository โดยใช้คำสั่ง git remote add origin <URL>
  • การดึงและส่งข้อมูล:
    ใช้คำสั่ง git pull เพื่อดึงข้อมูลจาก remote repository และ git push เพื่อส่งข้อมูล

6. การทำงานกับ Conflict:

  • การแก้ไข Conflict:
    เมื่อมี conflict ระหว่างการ merge, ใช้เครื่องมือหรือแก้ไขไฟล์เองแล้วทำการ commit
  • การใช้ Visual Merge Tool:
    ใช้ Visual Merge Tool เช่น git mergetool ในกรณี conflict

7. การใช้ Gitignore:

  • การสร้างไฟล์ .gitignore:
    สร้างไฟล์ .gitignore เพื่อระบุไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ไม่ต้องการให้ Git ติดตาม

8. การใช้ Git Branching Model:

  • การใช้ Git Flow:
    การใช้ Git Flow หรือรูปแบบอื่น ๆ ของ Git Branching Model เพื่อจัดการ branch ในโปรเจค

9. การใช้ Git Hooks:

  • การใช้ Git Hooks:
    ใช้ Git Hooks เพื่อทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการ commit, push, หรือเหตุการณ์อื่น ๆ

10. การทดสอบ:

  • การทดสอบ WordPress:
    ใช้ Git เพื่อสร้าง environment ทดสอบและทำการทดสอบ WordPress Themes หรือ Plugins
  • การใช้ Automated Testing: ทำการ automated testing บน WordPress โดยใช้เครื่องมือเช่น PHPUnit

การทดสอบและการใช้ Git เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพัฒนา WordPress เพื่อให้การทำงานร่วมกันของทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น. การทำความเข้าใจ Git และการใช้งานอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การพัฒนา WordPress เป็นไปอยางราบรื่นและมีประสิทธิภาพ.


เรียนรู้การทำงานกับฐานข้อมูล:

  • ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ MySQL หรือฐานข้อมูลที่ใช้กับ WordPress

MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System หรือ DBMS) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันหลายประการ, รวมถึง WordPress การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ MySQL เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา WordPress เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดของเว็บไซต์, เช่น เนื้อหาบทความ, ข้อมูลผู้ใช้, และการตั้งค่า

1. MySQL คืออะไร:

  • MySQL คือ DBMS: MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการจัดเก็บ, การค้นหา, และการจัดการข้อมูล.
  • Open Source: MySQL เป็นโปรแกรมเสรี (Open Source) ซึ่งแปลว่าสามารถใช้งาน, ปรับแต่ง, และแจกจ่ายต่อไปได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย.
  • มีฟีเจอร์หลายประการ: MySQL มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น, รองรับการทำงานที่ซับซ้อน, และมีการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง.

2. MySQL ในที่ตั้ง WordPress:

  • ฐานข้อมูล WordPress: WordPress ใช้ MySQL เป็นฐานข้อมูลหลักในการเก็บข้อมูลทั้งหมด, เช่น เนื้อหา, ข้อมูลผู้ใช้, และตัวเลือกของธีมและปลั๊กอิน.
  • การเชื่อมต่อผ่าน wp-config.php: ข้อมูลการเชื่อมต่อกับ MySQL จะถูกกำหนดไว้ในไฟล์ wp-config.php ของ WordPress

3. โครงสร้างของ MySQL:

  • ตาราง (Table): ข้อมูลใน MySQL ถูกจัดเก็บในตาราง, แต่ละตารางจะมีโครงสร้างข้อมูลที่กำหนดไว้
  • ฐานข้อมูล (Database): MySQL สามารถบริหารจัดการหลายฐานข้อมูลได้, แต่ในที่นี้ WordPress มักจะใช้ฐานข้อมูลเดียว
  • คีย์ (Key): ใน MySQL, คีย์ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและจัดเรียงข้อมูล

4. การทำงานกับ MySQL ใน WordPress:

  • การสร้าง, อ่าน, แก้ไข, ลบ (CRUD): WordPress ใช้ SQL (Structured Query Language) เพื่อทำ CRUD ที่ได้แก่การสร้าง (Create), อ่าน (Read), แก้ไข (Update), และลบ (Delete) ข้อมูลใน MySQL
  • Query:
    • การใช้ WP_Query: WordPress มีคลาส WP_Query ที่ช่วยในการสร้างคำสั่ง Query ในการดึงข้อมูล
    • Custom Queries: นักพัฒนาสามารถเขียน SQL Query เพื่อดึงข้อมูลที่ต้องการโดยตรง

5. การปรับแต่งและการดูแล MySQL:

  • การปรับแต่งความเร็ว: นักพัฒนาสามารถปรับแต่งการทำงานของ MySQL ตามความเหมาะสมของโปรเจค
  • การสำรองข้อมูล: สำรองข้อมูล MySQL เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันข้อมูลจากการสูญหาย
  • การดูแลรักษา: การดูแลรักษาและปรับปรุง MySQL เพื่อให้ระบบทำงานอย่างเสถียร

การทำความเข้าใจ MySQL เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา WordPress เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลและปรับแต่งการทำงานของ WordPress ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น. การทำ CRUD ผ่าน SQL และการใช้ WP_Query เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการจัดการข้อมูลใน WordPress


ทำการทดสอบและทำความเข้าใจการปรับแต่ง:

  • ทดสอบธีมและปลั๊กอิน, และทำความเข้าใจการปรับแต่ง (customization) ของ WordPress

1. ทดสอบธีมและปลั๊กอิน (Themes and Plugins Testing):

1.1 ทดสอบธีม (Theme Testing):

1.1.1 การใช้ Theme Unit Test:

  • เตรียมข้อมูลทดสอบ: ใช้ Theme Unit Test XML ที่ WordPress.org ให้มาเพื่อทดสอบธีม
  • ทดสอบหน้าหลัก: ตรวจสอบว่าหน้าหลักแสดงข้อมูลทั้งหมดตามที่คาดหวัง
  • ทดสอบหน้าบทความ: ตรวจสอบการแสดงผลของหน้าบทความและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง

1.1.2 การทดสอบ Responsive Design:

  • ใช้ Responsive Design Checker: ทดสอบการแสดงผลของธีมในหลายขนาดหน้าจอ
  • ตรวจสอบ Breakpoints: ตรวจสอบว่าธีมตอบสนองตามขนาดหน้าจอที่กำหนด

1.1.3 ทดสอบ Browser Compatibility:

  • ทดสอบบนทุก Browser: ตรวจสอบการทำงานของธีมบนทุกเบราว์เซอร์
  • Cross-browser Testing Tools: ใช้เครื่องมือทดสอบทางเบราว์เซอร์เพื่อความแม่นยำ

1.2 ทดสอบปลั๊กอิน (Plugin Testing):

1.2.1 การทดสอบฟังก์ชัน:

  • ทดสอบฟังก์ชันหลัก: ตรวจสอบว่าฟังก์ชันหลักของปลั๊กอินทำงานถูกต้อง
  • ทดสอบฟังก์ชันพิเศษ: ทดสอบฟังก์ชันพิเศษหรือฟีเจอร์ที่ปลั๊กอินมี

1.2.2 ทดสอบการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล:

  • ทดสอบฐานข้อมูล: ตรวจสอบว่าปลั๊กอินสามารถอ่านและเขียนข้อมูลจาก/ไปยังฐานข้อมูลได้ถูกต้อง

1.2.3 ทดสอบประสิทธิภาพ:

  • Performance Testing: ทดสอบประสิทธิภาพของปลั๊กอินในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

2. การปรับแต่ง (Customization) ของ WordPress:

2.1 การปรับแต่งธีม (Theme Customization):

2.1.1 การใช้ Customizer:

  • ทดสอบ Customizer Options: ทดสอบการใช้งานตัวเลือกต่าง ๆ ใน Customizer ของ WordPress
  • การเปลี่ยนแปลงสีและแบบอักษร: ทดสอบการปรับแต่งสี, แบบอักษร, และลายเส้น

2.1.2 การปรับแต่งหน้าแรก (Front Page):

  • การกำหนดหน้าแรก: ทดสอบการกำหนดหน้าแรกของธีมต่าง ๆ
  • การใช้ Widgets: ทดสอบการใช้ Widgets ในหน้าแรก

2.1.3 การทดสอบฟีเจอร์ทางสายการเขียน (Blog Features):

  • ทดสอบการแสดงผลบทความ: ทดสอบการแสดงผลบทความในหน้า Blog
  • การใช้ Post Formats: ทดสอบการใช้ Post Formats เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของบทความ

2.2 การปรับแต่งปลั๊กอิน (Plugin Customization):

2.2.1 การปรับแต่งตามต้องการ:

  • การตั้งค่าปลั๊กอิน: ทดสอบการปรับแต่งตัวเลือกต่าง ๆ ที่ปลั๊กอินนั้นให้

2.2.2 การปรับแต่งตามธีม:

  • การปรับแต่งธีมพร้อมกับปลั๊กอิน: ทดสอบความเข้ากันได้ของปลั๊กอินกับการปรับแต่งที่มีในธีม

2.2.3 การปรับแต่งผ่านการเขียนโค้ด:

  • การใช้ Hooks และ Filters: ทดสอบการใช้ Hooks และ Filters เพื่อปรับแต่งพฤติกรรมของปลั๊กอิน

2.3 การทดสอบประสิทธิภาพของการปรับแต่ง:

  • Performance Testing: ทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์หลังจากการปรับแต่ง

การทดสอบและปรับแต่ง WordPress เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ การทดสอบ Themes และ Plugins จะช่วยให้แน่ใจว่าพวกเขาทำงานได้ถูกต้องและประสิทธิภาพ การปรับแต่ง WordPress จะช่วยให้สามารถปรับที่ตัวเว็บไซต์ที่พัฒนาอยู่นั้นให้เข้ากับความต้องการและรูปแบบที่ต้องการได้


ติดตามเหตุการณ์และอัพเดท:

  • เข้าร่วมชุมชน WordPress, อ่านบทความ, และติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ

การเข้าร่วมชุมชน WordPress เป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้, แลกเปลี่ยนความรู้, และเชื่อมโยงกับนักพัฒนาและผู้ใช้ WordPress อื่น ๆ ทั่วโลก

1. เข้าร่วมชุมชน WordPress:

1.1 เว็บไซต์ WordPress.org:

  • WordPress Forums: เข้าร่วมฟอรั่มที่ WordPress.org เพื่อถาม-ตอบคำถาม, แลกเปลี่ยนความรู้, และรับความช่วยเหลือจากชุมชน

1.2 กลุ่มการใช้ WordPress:

  • Meetup Groups: เข้าร่วมกลุ่ม Meetup เพื่อเจอผู้ใช้และนักพัฒนา WordPress ในงาน Meetup ท้องถิ่น
  • WordCamps: เข้าร่วม WordCamp, งานประชุม WordPress ทั่วโลกที่จัดขึ้นเพื่อการแบ่งปันความรู้และสร้างเครือข่าย

2. อ่านบทความ WordPress:

2.1 WordPress Codex:

  • อ่าน Codex: ใช้ WordPress Codex เป็นแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับ WordPress ที่มีคำอธิบาย, ตัวอย่างโค้ด, และคำแนะนำ

2.2 บล็อก WordPress:

2.2.1 บล็อกทางการพัฒนา:

  • Official Development Blog: ติดตามบล็อกการพัฒนาทางการอย่างเป็นทางการจาก WordPress.org เพื่อทราบข่าวสาร, อัพเดท, และข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress
  • WordPress Core Blog: อ่านบล็อกเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress Core และการปรับปรุงต่าง ๆ

2.2.2 บล็อกที่เกี่ยวข้อง:

  • บล็อกที่เกี่ยวข้องกับธีมและปลั๊กอิน: ติดตามบล็อกจากนักพัฒนาธีมและปลั๊กอินต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ และแนวคิด

3. การติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ:

3.1 GitHub Repositories:

  • GitHub Repositories: ติดตามหรือ Fork โครงการ WordPress Core และโครงการที่เกี่ยวข้องบน GitHub

3.2 Social Media:

  • Twitter: ติดตามทวีตเตอร์ของทีมพัฒนา WordPress และนักพัฒนาที่มีชื่อเสียง
  • LinkedIn: เข้าร่วมกลุ่มและติดตามบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ WordPress ใน LinkedIn

การเข้าร่วมชุมชน WordPress, อ่านบทความ, และติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ใหม่ ๆ, รวมถึงการสร้างเครือข่ายกับคนที่มีความสนใจเหมือนกัน


โปรเจ็คน้อย ๆ และการทำงานบน GitHub:

  • ลองสร้างโปรเจ็คเล็ก ๆ บน WordPress และอัพโหลดโค้ดที่สร้างไว้ขึ้นบน GitHub เพื่อให้คนอื่นสามารถดูและให้คำแนะนำ

การสร้างโปรเจคเล็ก ๆ บน WordPress และอัพโหลดโค้ดขึ้นบน GitHub เป็นขั้นตอนที่ดีในการฝึกฝนทักษะการพัฒนาและการทำงานกับ WordPress

1. สร้างโปรเจค WordPress ใหม่:

1.1 ติดตั้ง WordPress:

  1. ดาวน์โหลด WordPress: ไปที่ เว็บไซต์ WordPress.org เพื่อดาวน์โหลดเวอร์ชันล่าสุดของ WordPress
  2. ติดตั้ง WordPress: ติดตั้ง WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ที่พัฒนา หรือใช้เครื่องแม่ข่ายพัฒนาที่สามารถเข้าถึงได้

1.2 สร้าง Theme ใหม่:

  1. สร้างโฟลเดอร์ธีม: ไปที่โฟลเดอร์ wp-content/themes ในไดเรกทอรีของ WordPress และสร้างโฟลเดอร์ใหม่สำหรับธีมของ
  2. สร้างไฟล์ธีมหลัก: ในโฟลเดอร์ธีม สร้างไฟล์ style.css และเพิ่มข้อมูลหลักของธีม: /* Theme Name: My Custom Theme Description: A simple custom theme for WordPress Version: 1.0 Author: Your Name */ /* Add your styles here */
  3. สร้างไฟล์ index.php: สร้างไฟล์ index.php เพื่อแสดงเนื้อหาของหน้าแรก
  4. กำหนดรูปภาพขนาดต่าง ๆ: สร้างโฟลเดอร์ images ภายในโฟลเดอร์ธีมและเพิ่มรูปภาพต่าง ๆ เพื่อใช้ในธีม
  5. กำหนดธีมใน WordPress: เข้าไปที่หน้าแอดมินของ WordPress > ธีม > เลือกธีมที่สร้างขึ้นมานั้น

2. อัพโหลดโค้ดที่สร้างแล้วขึ้นบน GitHub:

2.1 สร้าง Repository บน GitHub:

  1. ไปที่ GitHub: เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีใหม่ที่ GitHub
  2. สร้าง Repository ใหม่: คลิกที่ปุ่ม “New” และตั้งชื่อ Repository

2.2 อัพโหลดโค้ด:

  1. คัดลอก URL ของ Repository: ในหน้า Repository ของ GitHub, คัดลอก URL ที่มีรูปแบบ https://github.com/username/repository.git
  2. ใช้ Git บนเครื่องที่พัฒนา: เปิดเทอร์มินัลหรือใช้ Git GUI เพื่อทำงานกับโค้ด
  3. นำเข้า Repository ลงในโปรเจค WordPress ที่สร้างไว้แล้ว: ในไดเรกทอรีของ WordPress, ใช้คำสั่งต่อไปนี้: git init git remote add origin https://github.com/username/repository.git git add . git commit -m "Initial commit" git push -u origin master
  4. ตรวจสอบที่ GitHub: ไปที่หน้า Repository ของ GitHub และตรวจสอบว่าโค้ดที่สร้างไว้แล้วนั้นถูกอัพโหลดไปยัง GitHub แล้วทำตามขั้นตอนนี้, จะได้โปรเจค WordPress ที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้บน GitHub และมีธีมที่สร้างขึ้นในนั้นด้วย

พัฒนาทักษะการประสานงาน:

  • การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ

การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress

1. การทำงานในทีม:

1.1 การร่วมงาน:

  • การแบ่งหน้าที่: กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละสมาชิกในทีม
  • การสื่อสาร: การสื่อสารเป็นสำคัญ, ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Slack, Microsoft Teams, หรืออื่น ๆ เพื่อสื่อสารในทีม

1.2 การใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control):

  • Git & GitHub: ใช้ Git และ GitHub ในการจัดการรหัสที่พัฒนา, ติดตามการเปลี่ยนแปลง, และทำงานร่วมกันในโปรเจค

1.3 การจัดการโปรเจค:

  • Project Management Tools: ใช้เครื่องมือการจัดการโปรเจค เช่น Trello, Jira, หรือ Asana เพื่อติดตามและจัดการงาน
  • การประชุม: จัดประชุมทีมเพื่อตรวจสอบความคืบหน้า, วางแผน, และหาวิธีแก้ไขปัญหา

2. การตอบรับคำแนะนำ:

2.1 ปฏิบัติที่ดี:

  • การฟัง: ฟังคำแนะนำจากสมาชิกทีมและความเห็นจากลูกค้า
  • การให้ความรู้: แบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับทีม

2.2 การปรับปรุง:

  • การตอบรับโดยรวม: รับรู้คำแนะนำทั้งในแง่บวกและลบ, และใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุง
  • การปรับแก้: ไม่เพียงแต่รับรู้คำแนะนำ, แต่ยินดีที่จะปรับแก้และพัฒนาตัวเอง

3. การทำงานกับลูกค้า:

3.1 การสื่อสาร:

  • การสื่อสารทางเทคนิค: ติดต่อลูกค้าเพื่อให้คำแนะนำทางเทคนิคและแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหา
  • การสื่อสารทางธุรกิจ: เข้าใจความต้องการธุรกิจของลูกค้าและทำให้พวกเขาเข้าใจการพัฒนา

3.2 การวางแผนและการรายงาน:

  • การวางแผนโปรเจค: วางแผนและรายงานความคืบหน้าให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
  • การรายงานปัญหา: รายงานปัญหาที่พบแก่ลูกค้าและนำเสนอแนวทางแก้ไข

การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้โปรเจค WordPress ดำเนินไปได้ด้วยประสบการณ์ที่เต็มที่และประสบความสำเร็จ การสื่อสารที่ดี, ความสามารถในการปรับปรุงตนเอง, และการทำงานร่วมกับลูกค้าจะช่วยให้การพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress โปรเจคเป็นไปอย่างราบรื่น


เข้าร่วมคอร์สออนไลน์หรืออีเวนต์:

  • มีคอร์สออนไลน์และอีเวนต์ที่สามารถช่วยในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ WordPress ได้

คอร์สออนไลน์และอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับ WordPress เป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของนักพัฒนา, นักออกแบบ, และผู้ดูแลเว็บไซต์

1. คอร์สออนไลน์:

1.1 การเรียนรู้ WordPress จากหลักสูตรออนไลน์:

  • Pluralsight: มีหลายคอร์สที่เน้นการพัฒนา WordPress ใน Pluralsight โดยมีเนื้อหาที่หลากหลาย เช่นการสร้างธีม, การพัฒนาปลั๊กอิน, และการปรับแต่ง
  • Udemy: Udemy เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับหลายคอร์สที่มีต้นฉบับสำหรับผู้เริ่มต้นและนักพัฒนาที่มีระดับประสบการณ์มากขึ้น

1.2 หลักสูตรออนไลน์จาก WordPress.org:

  • WordPress.org Learn: มีหลายบทเรียนและทรัพยากรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ WordPress และการพัฒนาบน WordPress.org Learn

1.3 การบริการคอร์สออนไลน์ที่ปรับตัวเอง:

  • LinkedIn Learning: มีคอร์สที่หลากหลายใน LinkedIn Learning เช่น WordPress Essential Training, Advanced WordPress Development, และอื่น ๆ

2. อีเวนต์ที่เกี่ยวข้อง:

2.1 WordCamps:

  • WordCamp: WordCamp เป็นการประชุมที่จัดขึ้นทั่วโลกเพื่อนักพัฒนา, นักออกแบบ, และผู้ที่สนใจใน WordPress มีการนำเสนอบทความ, การฝึกอบรม, และโอกาสในการนำเสนอผลงาน

2.2 Webinars และ Meetups:

  • Webinars: บางทีมีเว็บการศึกษาที่จัด Webinars เกี่ยวกับ WordPress ที่เน้นเรื่องเฉพาะ
  • Meetups: กลุ่ม Meetup ในพื้นที่ใกล้เคียงอาจจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ WordPress, เช่นการเรียนรู้จากกัน, การพบปะ, และการแบ่งปันประสบการณ์

การเรียนรู้ผ่านคอร์สออนไลน์และการเข้าร่วมอีเวนต์เกี่ยวกับ WordPress ช่วยให้ได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress และนอกจากนี้, มีโอกาสในการเชื่อมโยงกับชุมชน WordPress และนำเสนอคำถามหรือแนวคิดร่วมกัน


สร้างโปรไฟล์ส่วนตัว:

  • สร้างโปรไฟล์บนเว็บไซต์ที่มีชุมชนนักพัฒนา เช่น GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เพื่อแสดงผลงาน

การสร้างโปรไฟล์บนเว็บไซต์ที่มีชุมชนนักพัฒนา เช่น GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เป็นการสร้างตัวตนออนไลน์ที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ที่สนใจในสายงานที่เกี่ยวข้อง

1. GitHub:

1.1 สร้างบัญชี GitHub:

  1. ไปที่เว็บไซต์ GitHub: เข้าไปที่ GitHub และสร้างบัญชีใหม่
  2. กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัว, เพิ่มรูปภาพโปรไฟล์, และตั้งค่าส่วนตัว

1.2 สร้าง Repository:

  1. คลิกที่ปุ่ม “New”: บนหน้าหลัก GitHub, คลิกที่ปุ่ม “New” เพื่อสร้าง Repository ใหม่
  2. ตั้งชื่อ Repository: ตั้งชื่อและคำอธิบายสำหรับ Repository
  3. อัพโหลดโค้ด: ใส่โค้ดที่สร้างเสร็จแล้วหรือคลิกที่ “Initialize this repository with a README” เพื่อสร้าง README.md และอัพโหลดโค้ด

1.3 แสดงผลงาน:

  1. การเพิ่มผลงาน: ใน Repository, สร้างโฟลเดอร์หรืออัพโหลดโค้ด เพิ่มไฟล์ README.md ที่อธิบายเกี่ยวกับโปรเจค
  2. การใช้ GitHub Pages: หากต้องการแสดงผลงานออนไลน์, ใช้ GitHub Pages เพื่อโฮสต์เว็บไซต์ส่วนตัว

2. Stack Overflow:

2.1 สร้างบัญชี Stack Overflow:

  1. ไปที่เว็บไซต์ Stack Overflow: เข้าไปที่ Stack Overflow และสร้างบัญชีใหม่
  2. กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัวและตั้งค่าบัญชี

2.2 เข้าร่วมและตอบคำถาม:

  1. เข้าร่วมคอมมิวนิตี้: เข้าร่วมคอมมิวนิตี้และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักพัฒนา
  2. ตอบคำถาม: ตอบคำถามที่มีประโยชน์และแบ่งปันความรู้กับนักพัฒนาคนอื่นๆ

2.3 แสดงประสบการณ์:

  1. การแสดงประสบการณ์ในโปรไฟล์: แก้ไขโปรไฟล์ของพักพัฒนาโดยเพิ่มประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง, การทำงาน, และความเชี่ยวชาญ
  2. การแนะนำตัว: สร้างสรรค์หัวข้อเกี่ยวกับตัวผู้พัฒนาและความเชี่ยวชาญของผู้พัฒนา

3. WordPress.org:

3.1 สร้างบัญชี WordPress.org:

  1. ไปที่เว็บไซต์ WordPress.org: เข้าไปที่ WordPress.org และล็อกอินหรือสร้างบัญชีใหม่
  2. กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัวและตั้งค่าบัญชี

3.2 แสดงผลงาน:

  1. การเพิ่ม Themes หรือ Plugins: แสดงผลงานที่เสร็จแล้วโดยสร้าง Themes หรือ Plugins และอัพโหลดลงใน Directory ของ WordPress.org
  2. การเข้าร่วม Support Forums: สร้างบทความหรือตอบคำถามใน Support Forums เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญของผู้พัฒนา

การสร้างโปรไฟล์บน GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เป็นวิธีที่เจ้าของผลงานสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในโลกออนไลน์ นอกจากนี้, การมีโปรไฟล์ที่มีประสบการณ์และผลงานที่ชัดเจนยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในชุมชนนักพัฒนา


Back To Top
Search