
การเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress มีหลายขั้นตอนที่ควรทำเพื่อเพิ่มความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานกับแพลตฟอร์ม WordPress ได้ดียิ่งขึ้น และนี่คือขั้นตอนที่สามารถทำเพื่อเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress
เรียนรู้ภาษา HTML, CSS, และ JavaScript :
- HTML ใช้สำหรับสร้างโครงสร้างของหน้าเว็บ
- CSS ใช้สำหรับการจัดรูปแบบและการจัดวาง
- JavaScript ใช้สำหรับเพิ่มความพึงพอใจและฟังก์ชันที่เพิ่มเติม
การเรียนรู้ภาษา HTML, CSS, และ JavaScript เป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมตัวเป็นนักพัฒนา WordPress ต่อไปนี้คือขั้นตอนและเคล็ดลับสำหรับการเรียนรู้แต่ละภาษา
1. HTML (HyperText Markup Language)

- สร้างโครงสร้างหน้าเว็บ: เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้การใช้แท็ก HTML เพื่อสร้างโครงสร้างของหน้าเว็บ
- ศึกษาแท็กที่ใช้บ่อย: แท็กพื้นฐานเช่น
<div>
,<p>
,<h1>
และอื่น ๆ - การให้ความหมายในแท็ก: เรียนรู้การให้ความหมายในแท็ก, เช่น การใช้แท็ก
<a>
สำหรับลิงก์,<img>
สำหรับรูปภาพ, และอื่น ๆ
2. CSS (Cascading Style Sheets)

- ทำความเข้าใจการเลือกองค์ประกอบ: เรียนรู้เกี่ยวกับเลือกองค์ประกอบด้วยเลือกตั้งซ้อน (nested selectors) และความสามารถในการเลือกองค์ประกอบที่แตกต่าง
- การใช้ Properties และ Values: เรียนรู้วิธีใช้ properties เช่น
margin
,padding
,color
,font-size
และ values ที่เกี่ยวข้อง - Responsive Design: ทำความเข้าใจการสร้างหน้าเว็บที่เปลี่ยนรูปแบบตามขนาดของหน้าจอ (responsive design)
3. JavaScript
- ศึกษาภาษา JavaScript: ทำความเข้าใจรากฐานของ JavaScript และสไตล์การเขียนโค้ด
- DOM Manipulation: เรียนรู้การแก้ไขโครงสร้างของหน้าเว็บโดยใช้ Document Object Model (DOM)
- เรียนรู้เกี่ยวกับ Events: ทำความเข้าใจการใช้งาน events เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองได้
เคล็ดลับการเรียนรู้:
- โปรเจ็กต์ทำนายตัวอย่าง: สร้างโปรเจ็กต์น้อย ๆ เพื่อฝึกทักษะที่ได้เรียนรู้ นี่อาจเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจ
- อ่านและทดลองโค้ดอื่น ๆ: อ่านโค้ดจากโปรเจ็กต์อื่น ๆ ที่เป็นที่เชื่อถือได้บน GitHub เพื่อเรียนรู้แนวคิดและแนวทางการเขียนโค้ดที่ดี และต่อยอดต่อไปในอนาคต
- ทดลองทำโปรเจ็กต์บน WordPress: สร้างหน้าเว็บง่าย ๆ หรือปรับแต่งธีม WordPress เพื่อฝึกทักษะการใช้ HTML, CSS, และ JavaScript ในแนวทางของ WordPress
การศึกษาและฝึกฝนในภาษาเหล่านี้จะช่วยให้ชำนาญเพื่อเป็นการปูพื้นฐานที่ดีในการเป็นนักพัฒนา WordPress
ทำความเข้าใจ WordPress:

- อ่านเอกสารและทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของ WordPress, มีการทำงานกับฐานข้อมูล, และโค้ดพื้นฐานของ WordPress
ศึกษาโครงสร้างของ WordPress:
- ทำความเข้าใจถึงโครงสร้างของ WordPress ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนหลัก ๆ คือ Core, Themes, Plugins, Database, Users, และอื่น ๆ
2. อ่าน WordPress Codex:
- WordPress Codex เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ที่สำคัญที่มีเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนา WordPress อ่านที่ https://codex.wordpress.org/ และเรียนรู้เกี่ยวกับ Functions, Handle, Hook และวิธีการใช้งานต่าง ๆ
3. ทดลองติดตั้งและใช้ WordPress:
- ทดลองติดตั้ง WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งาน (local server) หรือในระบบสร้างเว็บที่ให้บริการ (hosted server) เพื่อทดสอบและเรียนรู้การทำงานของ WordPress
เรียนรู้ภาษา PHP:

- PHP เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งหลักที่ใช้ในการพัฒนา WordPress ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของ PHP และการใช้งานในที่เชื่อมโยงกับ WordPress
การเรียนรู้ภาษา PHP เพื่อเป็นนักพัฒนา WordPress เป็นขั้นตอนสำคัญ เนื่องจาก PHP เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งหลักที่ใช้ในการพัฒนาธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) ของ WordPress ต่อไปนี้คือขั้นตอนและแนวทางที่จะช่วยในการเรียนรู้ภาษา PHP สำหรับการพัฒนา WordPress
1. เริ่มต้นด้วยพื้นฐานของ PHP:
- ติดตั้ง PHP: ทำการติดตั้ง PHP บนเครื่องของที่จะพัฒนาหรือใช้สภาพแวดล้อมพัฒนาเช่น XAMPP, WAMP, หรือ MAMP
- Hello World: ทดลองเขียนโปรแกรม Hello World ใน PHP เพื่อทดสอบว่า PHP ทำงานได้ถูกต้อง
- สั่งพิมพ์และตัวแปร: เรียนรู้เกี่ยวกับคำสั่ง echo/print และการใช้ตัวแปรใน PHP
2. การทำงานกับตัวแปรและประเภทข้อมูล:
- ประเภทข้อมูล: เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทข้อมูลต่าง ๆ ใน PHP เช่น string, integer, float, boolean
- การทำงานกับตัวแปร: ทดลองใช้ตัวแปรใน PHP และเข้าใจถึงขอบเขตและการชี้ตัวแปร
3. โครงสร้างควบคุม:
- เงื่อนไข (Conditionals): ศึกษาการใช้ if, else, elseif ใน PHP เพื่อทำการตรวจสอบเงื่อนไข
- ลูป (Loops): เรียนรู้เกี่ยวกับลูป for, while, do-while เพื่อการทำงานที่ซ้ำ
4. ฟังก์ชันและการจัดการข้อผิดพลาด:
- การสร้างและใช้งานฟังก์ชัน: เรียนรู้วิธีการสร้างและใช้งานฟังก์ชันใน PHP
- การจัดการข้อผิดพลาด: ทดลองใช้ try-catch block เพื่อจัดการกับข้อผิดพลาด
5. การทำงานกับฐานข้อมูล MySQL:
- การเชื่อมต่อกับ MySQL Database: เรียนรู้วิธีการเชื่อมต่อ PHP กับ MySQL Database และดึงข้อมูล
- การจัดการข้อมูลในฐานข้อมูล: ทดลองเพิ่ม, แก้ไข, และลบข้อมูลในฐานข้อมูล MySQL โดยใช้ PHP.\
6. การเรียนรู้และใช้ WordPress API:
- WordPress Codex: อ่านเอกสารใน WordPress Codex เกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชันและ API ที่ให้มา
- การใช้ WordPress Hooks: เรียนรู้เกี่ยวกับ WordPress Hooks เพื่อทำการปรับแต่งธีมและปลั๊กอิน
7. สร้าง Themes และ Plugins:
- สร้างธีม WordPress: ทดลองสร้างธีม WordPress พื้นฐานโดยใช้ PHP, HTML, CSS, และ JavaScript
- สร้างปลั๊กอิน WordPress: ทดลองสร้างปลั๊กอินที่เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress
8. การทดสอบและปรับแต่ง:
- การทดสอบ: ทดสอบ Themes และ Plugins ในสภาพแวดล้อมการพัฒนา
- ปรับแต่ง: ปรับแต่ง Themes และ Plugins ในกรณีที่ต้องการปรับแต่งหรือเพิ่มเติม
9. การเรียนรู้จากทรัพยากรอื่น ๆ:
- เข้าร่วมชุมชน: เข้าร่วมชุมชน WordPress บนเว็บไซต์, แฟนเพจ, หรือฟอรั่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
- อ่านบทความและรีวิว: อ่านบทความและรีวิวจากนักพัฒนา WordPress ที่มีประสบการณ์
การเรียนรู้ PHP สำหรับการพัฒนา WordPress จะช่วยให้สามารถสร้าง Themes และ Plugins ที่สอดคล้องกับมาตรฐานของ WordPress และให้มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของระบบ WordPress
ทำความเข้าใจธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) ของ WordPress
- ศึกษาวิธีการสร้างธีม WordPress และปลั๊กอินต่าง ๆ ที่เพิ่มฟังก์ชันในระบบ

ในโลกของ WordPress, ธีม (Themes) และปลั๊กอิน (Plugins) เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำหนดรูปแบบและเพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับทั้งธีมและปลั๊กอิน:
1. ธีม (Themes):
1.1 คำอธิบาย:
ธีมคือกลุ่มของไฟล์และรหัสที่กำหนดรูปแบบ การจัดวาง, และสไตล์สำหรับเว็บไซต์ WordPress ที่ต้องการสร้าง ธีมมีผลต่อทุกส่วนของเว็บไซต์, รวมถึงหน้าหลัก, หน้าเรื่อง, หน้าเนื้อหา, และหน้าหมวดหมู่
1.2 ส่วนประกอบหลักของธีม:
- ไฟล์สำคัญ:
style.css
: รหัส CSS ที่ใช้กำหนดรูปแบบของธีมindex.php
: ไฟล์หลักที่ใช้ในการแสดงผลหน้าหลักของเว็บไซต์header.php
,footer.php
,sidebar.php
: ไฟล์ที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างของหน้าเว็บ
- รูปภาพและไฟล์สื่อ:
- ธีมสามารถรวมรูปภาพ, ไฟล์สื่อ, และไฟล์อื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีลักษณะเฉพาะ
- ฟังก์ชัน:
- ธีมสามารถมีฟังก์ชันเพิ่มเติมที่กำหนดโดยนักพัฒนาได้
1.3 การสร้างและใช้ธีม:
- สร้างธีม:
- สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี
wp-content/themes/
และสร้างไฟล์style.css
ด้วยข้อมูลพื้นฐาน - นำเข้ารูปภาพ, ไฟล์ CSS, และสร้างไฟล์ PHP ต่าง ๆ ตามโครงสร้างตามที่ต้องการได้
- สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี
- เปลี่ยนธีม:
- ในแดชบอร์ด WordPress, ไปที่ “เมนู > รูปหลัง > ธีม” เพื่อเปลี่ยนหรือเลือกธีมที่ต้องการใช้งาน
2. ปลั๊กอิน (Plugins):
2.1 คำอธิบาย:
ปลั๊กอินเป็นโปรแกรมเสริมที่เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress สามารถเพิ่มฟังก์ชันทั้งหมดตั้งแต่การปรับแต่งส่วนบางตัวของ WordPress จนถึงการเพิ่มฟังก์ชันที่ทำงานกับฐานข้อมูล
2.2 ส่วนประกอบหลักของปลั๊กอิน:
- ไฟล์หลัก:
plugin-name.php
: ไฟล์หลักที่ WordPress จะโหลดเมื่อปลั๊กอินถูกเปิดใช้งาน
- ไฟล์ส่วนประกอบอื่น ๆ:
- ภายในโฟลเดอร์ของปลั๊กอิน, มีไฟล์เสริมที่เกี่ยวข้อง เช่น CSS, JavaScript, หรือไฟล์ภาษา
- ฟังก์ชัน:
- ปลั๊กอินมีฟังก์ชันที่สามารถถูกเรียกใช้โดย WordPress เพื่อทำงานเฉพาะ
2.3 การสร้างและใช้ปลั๊กอิน:
- สร้างปลั๊กอิน:
- สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี
wp-content/plugins/
และสร้างไฟล์หลักplugin-name.php
ด้วยข้อมูลพื้นฐาน
- สร้างโฟลเดอร์ในไดเรกทอรี
- เปิดใช้งานปลั๊กอิน:
- ในแดชบอร์ด WordPress, ไปที่ “ปลั๊กอิน” เพื่อเปิดหรือปิดใช้งานปลั๊กอินที่สร้างไว้แล้วตามต้องการ.
3. ความแตกต่างระหว่างธีมและปลั๊กอิน:
- ธีม:
- กำหนดรูปแบบ, การจัดวาง, และสไตล์ของเว็บไซต์
- มีผลต่อด้านทั้งหมดของเว็บไซต์
- มีไฟล์หลักคือ
style.css
,index.php
,header.php
,footer.php
. - ปลั๊กอิน:
- เพิ่มฟังก์ชันเพิ่มเติมให้กับ WordPress
- มีไฟล์หลักคือ
plugin-name.php
- มีทั้งโปรแกรมที่ทำงานอิสระและตรวจสอบและตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน WordPress
การเรียนรู้และใช้ธีมและปลั๊กอินใน WordPress จะช่วยให้สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามความต้องการและมีฟังก์ชันที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้
ใช้ WordPress Codex:
- Codex เป็นทรัพยากรที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress อ่านและศึกษาเอกสารเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ

WordPress Codex เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ที่เป็นทางการของ WordPress ที่ให้ข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้และพัฒนา WordPress นี่คือคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ WordPress Codex:
1. ความหมายของ WordPress Codex:
- เอกสารอย่างละเอียด: WordPress Codex ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานและพัฒนา WordPress นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
- แหล่งข้อมูลทางการเรียนรู้: Codex เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับ WordPress มีบทความ, ตัวอย่างโค้ด, และเอกสารที่ชัดเจน
2. เนื้อหาหลักของ WordPress Codex:
- Functions และ Handle: รายละเอียดเกี่ยวกับฟังก์ชันและแฮนด์ล์ที่ใช้ในการพัฒนา Themes และ Plugins
- การใช้งาน WordPress: คู่มือเกี่ยวกับการติดตั้ง, การปรับแต่ง, และการใช้งานทั่วไปของ WordPress
- สร้าง Themes และ Plugins: ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้าง Themes และ Plugins ทั้งในแง่มุมของการออกแบบและการเขียนโค้ด
- การทำงานกับฐานข้อมูล: แนวทางการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL และการจัดการข้อมูลใน WordPress
3. การใช้งาน WordPress Codex:
- การค้นหาข้อมูล: มีเครื่องมือค้นหาที่ช่วยให้หาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วมากขึ้น
- การเข้าถึงลิงก์และเมนู: Codex มีการจัดหน้าเพื่อง่ายต่อการนำทาง, มีลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง
- การอัพเดท: เนื้อหาใน WordPress Codex ถูกอัพเดทอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
4. ใช้ WordPress Codex ในการพัฒนา:
- อ่านคู่มือและตัวอย่างโค้ด: Codex มีคู่มือและตัวอย่างโค้ดที่ช่วยในการเรียนรู้การพัฒนา
- ความร่วมมือของชุมชน: ชุมชน WordPress มีนักพัฒนาที่เขียนเอกสารและให้คำแนะนำใน Codex
- การแก้ไขและเสนอข้อมูล: นักพัฒนาสามารถเสนอข้อมูลเพิ่มเติมหรือแก้ไขใน Codex เพื่อแบ่งปันความรู้
WordPress Codex เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างมากเป็นขุมทรัพย์สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ WordPress ที่ต้องการ
ข้อมูลที่ถูกต้องและปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้งานและการพัฒนา WordPress การใช้ Codex จะช่วยให้เกิดความเข้าใจทั้งโครงสร้างและฟังก์ชันของ WordPress อย่างละเอียดและสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ
ทดสอบและทำความเข้าใจการใช้ Git:
- Git เป็นระบบควบคุมเวอร์ชันที่สำคัญสำหรับทีมพัฒนา ทดลองใช้ Git สำหรับการจัดการโค้ดที่สร้างไว้

การใช้ Git เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา WordPress หรือในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน Git ช่วยให้นักพัฒนาทำงานร่วมกัน, ติดตามการเปลี่ยนแปลง, และดูประวัติของโค้ด นี่คือขั้นตอนและแนวทางที่ควรทราบเกี่ยวกับการใช้ Git เพื่อพัฒนา WordPress:
1. การเริ่มต้นใช้ Git:
- การติดตั้ง Git:
ทำการติดตั้ง Git บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการพัฒนา WordPress - การกำหนดค่าผู้ใช้:
กำหนดค่าผู้ใช้ Git โดยใช้คำสั่ง:git config --global user.name "Your Name" git config --global user.email "[email protected]"
2. การสร้าง Repository:
- การสร้าง Git Repository:
สร้าง Git repository ในโปรเจค WordPress ที่ต้องการ - การเชื่อมต่อ Repository:
เชื่อมต่อ repository ใน GitHub, GitLab, หรือบริการ Git อื่น ๆ
3. การทำงานกับ Branch:
- การสร้าง Branch:
สร้าง branch เพื่อทำงานแยกจาก branch หลัก - การเปลี่ยน Branch:
เปลี่ยน branch เพื่อทำงานใน branch ที่ต้องการ
4. การทำงานกับการเปลี่ยนแปลง:
- การสร้าง Commit:
ทำการ commit เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่ทำไปแล้ว - การดูประวัติ Commit:
ใช้คำสั่งgit log
เพื่อดูประวัติ commit ทั้งหมด - การเปลี่ยน Commit:
ถ้าต้องการเปลี่ยน commit ในอดีต, ใช้คำสั่งgit commit --amend
5. การทำงานกับ Remote Repository:
- การเพิ่ม Remote Repository:
เพิ่ม remote repository โดยใช้คำสั่งgit remote add origin <URL>
- การดึงและส่งข้อมูล:
ใช้คำสั่งgit pull
เพื่อดึงข้อมูลจาก remote repository และgit push
เพื่อส่งข้อมูล
6. การทำงานกับ Conflict:
- การแก้ไข Conflict:
เมื่อมี conflict ระหว่างการ merge, ใช้เครื่องมือหรือแก้ไขไฟล์เองแล้วทำการ commit - การใช้ Visual Merge Tool:
ใช้ Visual Merge Tool เช่นgit mergetool
ในกรณี conflict
7. การใช้ Gitignore:
- การสร้างไฟล์ .gitignore:
สร้างไฟล์ .gitignore เพื่อระบุไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ไม่ต้องการให้ Git ติดตาม
8. การใช้ Git Branching Model:
- การใช้ Git Flow:
การใช้ Git Flow หรือรูปแบบอื่น ๆ ของ Git Branching Model เพื่อจัดการ branch ในโปรเจค
9. การใช้ Git Hooks:
- การใช้ Git Hooks:
ใช้ Git Hooks เพื่อทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการ commit, push, หรือเหตุการณ์อื่น ๆ
10. การทดสอบ:
- การทดสอบ WordPress:
ใช้ Git เพื่อสร้าง environment ทดสอบและทำการทดสอบ WordPress Themes หรือ Plugins - การใช้ Automated Testing: ทำการ automated testing บน WordPress โดยใช้เครื่องมือเช่น PHPUnit
การทดสอบและการใช้ Git เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพัฒนา WordPress เพื่อให้การทำงานร่วมกันของทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น. การทำความเข้าใจ Git และการใช้งานอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การพัฒนา WordPress เป็นไปอยางราบรื่นและมีประสิทธิภาพ.
เรียนรู้การทำงานกับฐานข้อมูล:
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ MySQL หรือฐานข้อมูลที่ใช้กับ WordPress

MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System หรือ DBMS) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันหลายประการ, รวมถึง WordPress การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ MySQL เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา WordPress เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดของเว็บไซต์, เช่น เนื้อหาบทความ, ข้อมูลผู้ใช้, และการตั้งค่า
1. MySQL คืออะไร:
- MySQL คือ DBMS: MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการจัดเก็บ, การค้นหา, และการจัดการข้อมูล.
- Open Source: MySQL เป็นโปรแกรมเสรี (Open Source) ซึ่งแปลว่าสามารถใช้งาน, ปรับแต่ง, และแจกจ่ายต่อไปได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย.
- มีฟีเจอร์หลายประการ: MySQL มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น, รองรับการทำงานที่ซับซ้อน, และมีการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง.
2. MySQL ในที่ตั้ง WordPress:
- ฐานข้อมูล WordPress: WordPress ใช้ MySQL เป็นฐานข้อมูลหลักในการเก็บข้อมูลทั้งหมด, เช่น เนื้อหา, ข้อมูลผู้ใช้, และตัวเลือกของธีมและปลั๊กอิน.
- การเชื่อมต่อผ่าน wp-config.php: ข้อมูลการเชื่อมต่อกับ MySQL จะถูกกำหนดไว้ในไฟล์
wp-config.php
ของ WordPress
3. โครงสร้างของ MySQL:
- ตาราง (Table): ข้อมูลใน MySQL ถูกจัดเก็บในตาราง, แต่ละตารางจะมีโครงสร้างข้อมูลที่กำหนดไว้
- ฐานข้อมูล (Database): MySQL สามารถบริหารจัดการหลายฐานข้อมูลได้, แต่ในที่นี้ WordPress มักจะใช้ฐานข้อมูลเดียว
- คีย์ (Key): ใน MySQL, คีย์ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและจัดเรียงข้อมูล
4. การทำงานกับ MySQL ใน WordPress:
- การสร้าง, อ่าน, แก้ไข, ลบ (CRUD): WordPress ใช้ SQL (Structured Query Language) เพื่อทำ CRUD ที่ได้แก่การสร้าง (Create), อ่าน (Read), แก้ไข (Update), และลบ (Delete) ข้อมูลใน MySQL
- Query:
- การใช้ WP_Query: WordPress มีคลาส
WP_Query
ที่ช่วยในการสร้างคำสั่ง Query ในการดึงข้อมูล - Custom Queries: นักพัฒนาสามารถเขียน SQL Query เพื่อดึงข้อมูลที่ต้องการโดยตรง
- การใช้ WP_Query: WordPress มีคลาส
5. การปรับแต่งและการดูแล MySQL:
- การปรับแต่งความเร็ว: นักพัฒนาสามารถปรับแต่งการทำงานของ MySQL ตามความเหมาะสมของโปรเจค
- การสำรองข้อมูล: สำรองข้อมูล MySQL เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันข้อมูลจากการสูญหาย
- การดูแลรักษา: การดูแลรักษาและปรับปรุง MySQL เพื่อให้ระบบทำงานอย่างเสถียร
การทำความเข้าใจ MySQL เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา WordPress เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลและปรับแต่งการทำงานของ WordPress ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น. การทำ CRUD ผ่าน SQL และการใช้ WP_Query เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการจัดการข้อมูลใน WordPress
ทำการทดสอบและทำความเข้าใจการปรับแต่ง:
- ทดสอบธีมและปลั๊กอิน, และทำความเข้าใจการปรับแต่ง (customization) ของ WordPress

1. ทดสอบธีมและปลั๊กอิน (Themes and Plugins Testing):
1.1 ทดสอบธีม (Theme Testing):
1.1.1 การใช้ Theme Unit Test:
- เตรียมข้อมูลทดสอบ: ใช้ Theme Unit Test XML ที่ WordPress.org ให้มาเพื่อทดสอบธีม
- ทดสอบหน้าหลัก: ตรวจสอบว่าหน้าหลักแสดงข้อมูลทั้งหมดตามที่คาดหวัง
- ทดสอบหน้าบทความ: ตรวจสอบการแสดงผลของหน้าบทความและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง
1.1.2 การทดสอบ Responsive Design:
- ใช้ Responsive Design Checker: ทดสอบการแสดงผลของธีมในหลายขนาดหน้าจอ
- ตรวจสอบ Breakpoints: ตรวจสอบว่าธีมตอบสนองตามขนาดหน้าจอที่กำหนด
1.1.3 ทดสอบ Browser Compatibility:
- ทดสอบบนทุก Browser: ตรวจสอบการทำงานของธีมบนทุกเบราว์เซอร์
- Cross-browser Testing Tools: ใช้เครื่องมือทดสอบทางเบราว์เซอร์เพื่อความแม่นยำ
1.2 ทดสอบปลั๊กอิน (Plugin Testing):
1.2.1 การทดสอบฟังก์ชัน:
- ทดสอบฟังก์ชันหลัก: ตรวจสอบว่าฟังก์ชันหลักของปลั๊กอินทำงานถูกต้อง
- ทดสอบฟังก์ชันพิเศษ: ทดสอบฟังก์ชันพิเศษหรือฟีเจอร์ที่ปลั๊กอินมี
1.2.2 ทดสอบการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล:
- ทดสอบฐานข้อมูล: ตรวจสอบว่าปลั๊กอินสามารถอ่านและเขียนข้อมูลจาก/ไปยังฐานข้อมูลได้ถูกต้อง
1.2.3 ทดสอบประสิทธิภาพ:
- Performance Testing: ทดสอบประสิทธิภาพของปลั๊กอินในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
2. การปรับแต่ง (Customization) ของ WordPress:
2.1 การปรับแต่งธีม (Theme Customization):
2.1.1 การใช้ Customizer:
- ทดสอบ Customizer Options: ทดสอบการใช้งานตัวเลือกต่าง ๆ ใน Customizer ของ WordPress
- การเปลี่ยนแปลงสีและแบบอักษร: ทดสอบการปรับแต่งสี, แบบอักษร, และลายเส้น
2.1.2 การปรับแต่งหน้าแรก (Front Page):
- การกำหนดหน้าแรก: ทดสอบการกำหนดหน้าแรกของธีมต่าง ๆ
- การใช้ Widgets: ทดสอบการใช้ Widgets ในหน้าแรก
2.1.3 การทดสอบฟีเจอร์ทางสายการเขียน (Blog Features):
- ทดสอบการแสดงผลบทความ: ทดสอบการแสดงผลบทความในหน้า Blog
- การใช้ Post Formats: ทดสอบการใช้ Post Formats เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของบทความ
2.2 การปรับแต่งปลั๊กอิน (Plugin Customization):
2.2.1 การปรับแต่งตามต้องการ:
- การตั้งค่าปลั๊กอิน: ทดสอบการปรับแต่งตัวเลือกต่าง ๆ ที่ปลั๊กอินนั้นให้
2.2.2 การปรับแต่งตามธีม:
- การปรับแต่งธีมพร้อมกับปลั๊กอิน: ทดสอบความเข้ากันได้ของปลั๊กอินกับการปรับแต่งที่มีในธีม
2.2.3 การปรับแต่งผ่านการเขียนโค้ด:
- การใช้ Hooks และ Filters: ทดสอบการใช้ Hooks และ Filters เพื่อปรับแต่งพฤติกรรมของปลั๊กอิน
2.3 การทดสอบประสิทธิภาพของการปรับแต่ง:
- Performance Testing: ทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์หลังจากการปรับแต่ง
การทดสอบและปรับแต่ง WordPress เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ การทดสอบ Themes และ Plugins จะช่วยให้แน่ใจว่าพวกเขาทำงานได้ถูกต้องและประสิทธิภาพ การปรับแต่ง WordPress จะช่วยให้สามารถปรับที่ตัวเว็บไซต์ที่พัฒนาอยู่นั้นให้เข้ากับความต้องการและรูปแบบที่ต้องการได้
ติดตามเหตุการณ์และอัพเดท:
- เข้าร่วมชุมชน WordPress, อ่านบทความ, และติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ

การเข้าร่วมชุมชน WordPress เป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้, แลกเปลี่ยนความรู้, และเชื่อมโยงกับนักพัฒนาและผู้ใช้ WordPress อื่น ๆ ทั่วโลก
1. เข้าร่วมชุมชน WordPress:
1.1 เว็บไซต์ WordPress.org:
- WordPress Forums: เข้าร่วมฟอรั่มที่ WordPress.org เพื่อถาม-ตอบคำถาม, แลกเปลี่ยนความรู้, และรับความช่วยเหลือจากชุมชน
1.2 กลุ่มการใช้ WordPress:
- Meetup Groups: เข้าร่วมกลุ่ม Meetup เพื่อเจอผู้ใช้และนักพัฒนา WordPress ในงาน Meetup ท้องถิ่น
- WordCamps: เข้าร่วม WordCamp, งานประชุม WordPress ทั่วโลกที่จัดขึ้นเพื่อการแบ่งปันความรู้และสร้างเครือข่าย
2. อ่านบทความ WordPress:
2.1 WordPress Codex:
- อ่าน Codex: ใช้ WordPress Codex เป็นแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับ WordPress ที่มีคำอธิบาย, ตัวอย่างโค้ด, และคำแนะนำ
2.2 บล็อก WordPress:
2.2.1 บล็อกทางการพัฒนา:
- Official Development Blog: ติดตามบล็อกการพัฒนาทางการอย่างเป็นทางการจาก WordPress.org เพื่อทราบข่าวสาร, อัพเดท, และข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress
- WordPress Core Blog: อ่านบล็อกเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress Core และการปรับปรุงต่าง ๆ
2.2.2 บล็อกที่เกี่ยวข้อง:
- บล็อกที่เกี่ยวข้องกับธีมและปลั๊กอิน: ติดตามบล็อกจากนักพัฒนาธีมและปลั๊กอินต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ และแนวคิด
3. การติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ:
3.1 GitHub Repositories:
- GitHub Repositories: ติดตามหรือ Fork โครงการ WordPress Core และโครงการที่เกี่ยวข้องบน GitHub
3.2 Social Media:
- Twitter: ติดตามทวีตเตอร์ของทีมพัฒนา WordPress และนักพัฒนาที่มีชื่อเสียง
- LinkedIn: เข้าร่วมกลุ่มและติดตามบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ WordPress ใน LinkedIn
การเข้าร่วมชุมชน WordPress, อ่านบทความ, และติดตามการพัฒนาผ่านทางบล็อกและสื่ออื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ใหม่ ๆ, รวมถึงการสร้างเครือข่ายกับคนที่มีความสนใจเหมือนกัน
โปรเจ็คน้อย ๆ และการทำงานบน GitHub:
- ลองสร้างโปรเจ็คเล็ก ๆ บน WordPress และอัพโหลดโค้ดที่สร้างไว้ขึ้นบน GitHub เพื่อให้คนอื่นสามารถดูและให้คำแนะนำ

การสร้างโปรเจคเล็ก ๆ บน WordPress และอัพโหลดโค้ดขึ้นบน GitHub เป็นขั้นตอนที่ดีในการฝึกฝนทักษะการพัฒนาและการทำงานกับ WordPress
1. สร้างโปรเจค WordPress ใหม่:
1.1 ติดตั้ง WordPress:
- ดาวน์โหลด WordPress: ไปที่ เว็บไซต์ WordPress.org เพื่อดาวน์โหลดเวอร์ชันล่าสุดของ WordPress
- ติดตั้ง WordPress: ติดตั้ง WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ที่พัฒนา หรือใช้เครื่องแม่ข่ายพัฒนาที่สามารถเข้าถึงได้
1.2 สร้าง Theme ใหม่:
- สร้างโฟลเดอร์ธีม: ไปที่โฟลเดอร์
wp-content/themes
ในไดเรกทอรีของ WordPress และสร้างโฟลเดอร์ใหม่สำหรับธีมของ - สร้างไฟล์ธีมหลัก: ในโฟลเดอร์ธีม สร้างไฟล์
style.css
และเพิ่มข้อมูลหลักของธีม:/* Theme Name: My Custom Theme Description: A simple custom theme for WordPress Version: 1.0 Author: Your Name */ /* Add your styles here */
- สร้างไฟล์
index.php
: สร้างไฟล์index.php
เพื่อแสดงเนื้อหาของหน้าแรก - กำหนดรูปภาพขนาดต่าง ๆ: สร้างโฟลเดอร์
images
ภายในโฟลเดอร์ธีมและเพิ่มรูปภาพต่าง ๆ เพื่อใช้ในธีม - กำหนดธีมใน WordPress: เข้าไปที่หน้าแอดมินของ WordPress > ธีม > เลือกธีมที่สร้างขึ้นมานั้น
2. อัพโหลดโค้ดที่สร้างแล้วขึ้นบน GitHub:
2.1 สร้าง Repository บน GitHub:
- ไปที่ GitHub: เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีใหม่ที่ GitHub
- สร้าง Repository ใหม่: คลิกที่ปุ่ม “New” และตั้งชื่อ Repository
2.2 อัพโหลดโค้ด:
- คัดลอก URL ของ Repository: ในหน้า Repository ของ GitHub, คัดลอก URL ที่มีรูปแบบ
https://github.com/username/repository.git
- ใช้ Git บนเครื่องที่พัฒนา: เปิดเทอร์มินัลหรือใช้ Git GUI เพื่อทำงานกับโค้ด
- นำเข้า Repository ลงในโปรเจค WordPress ที่สร้างไว้แล้ว: ในไดเรกทอรีของ WordPress, ใช้คำสั่งต่อไปนี้:
git init git remote add origin https://github.com/username/repository.git git add . git commit -m "Initial commit" git push -u origin master
- ตรวจสอบที่ GitHub: ไปที่หน้า Repository ของ GitHub และตรวจสอบว่าโค้ดที่สร้างไว้แล้วนั้นถูกอัพโหลดไปยัง GitHub แล้วทำตามขั้นตอนนี้, จะได้โปรเจค WordPress ที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้บน GitHub และมีธีมที่สร้างขึ้นในนั้นด้วย
พัฒนาทักษะการประสานงาน:
- การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ

การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress
1. การทำงานในทีม:
1.1 การร่วมงาน:
- การแบ่งหน้าที่: กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละสมาชิกในทีม
- การสื่อสาร: การสื่อสารเป็นสำคัญ, ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Slack, Microsoft Teams, หรืออื่น ๆ เพื่อสื่อสารในทีม
1.2 การใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control):
- Git & GitHub: ใช้ Git และ GitHub ในการจัดการรหัสที่พัฒนา, ติดตามการเปลี่ยนแปลง, และทำงานร่วมกันในโปรเจค
1.3 การจัดการโปรเจค:
- Project Management Tools: ใช้เครื่องมือการจัดการโปรเจค เช่น Trello, Jira, หรือ Asana เพื่อติดตามและจัดการงาน
- การประชุม: จัดประชุมทีมเพื่อตรวจสอบความคืบหน้า, วางแผน, และหาวิธีแก้ไขปัญหา
2. การตอบรับคำแนะนำ:
2.1 ปฏิบัติที่ดี:
- การฟัง: ฟังคำแนะนำจากสมาชิกทีมและความเห็นจากลูกค้า
- การให้ความรู้: แบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับทีม
2.2 การปรับปรุง:
- การตอบรับโดยรวม: รับรู้คำแนะนำทั้งในแง่บวกและลบ, และใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุง
- การปรับแก้: ไม่เพียงแต่รับรู้คำแนะนำ, แต่ยินดีที่จะปรับแก้และพัฒนาตัวเอง
3. การทำงานกับลูกค้า:
3.1 การสื่อสาร:
- การสื่อสารทางเทคนิค: ติดต่อลูกค้าเพื่อให้คำแนะนำทางเทคนิคและแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหา
- การสื่อสารทางธุรกิจ: เข้าใจความต้องการธุรกิจของลูกค้าและทำให้พวกเขาเข้าใจการพัฒนา
3.2 การวางแผนและการรายงาน:
- การวางแผนโปรเจค: วางแผนและรายงานความคืบหน้าให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
- การรายงานปัญหา: รายงานปัญหาที่พบแก่ลูกค้าและนำเสนอแนวทางแก้ไข
การทำงานในทีม, การตอบรับคำแนะนำ, และการทำงานกับลูกค้าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้โปรเจค WordPress ดำเนินไปได้ด้วยประสบการณ์ที่เต็มที่และประสบความสำเร็จ การสื่อสารที่ดี, ความสามารถในการปรับปรุงตนเอง, และการทำงานร่วมกับลูกค้าจะช่วยให้การพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress โปรเจคเป็นไปอย่างราบรื่น
เข้าร่วมคอร์สออนไลน์หรืออีเวนต์:
- มีคอร์สออนไลน์และอีเวนต์ที่สามารถช่วยในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ WordPress ได้

คอร์สออนไลน์และอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับ WordPress เป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของนักพัฒนา, นักออกแบบ, และผู้ดูแลเว็บไซต์
1. คอร์สออนไลน์:
1.1 การเรียนรู้ WordPress จากหลักสูตรออนไลน์:
- Pluralsight: มีหลายคอร์สที่เน้นการพัฒนา WordPress ใน Pluralsight โดยมีเนื้อหาที่หลากหลาย เช่นการสร้างธีม, การพัฒนาปลั๊กอิน, และการปรับแต่ง
- Udemy: Udemy เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับหลายคอร์สที่มีต้นฉบับสำหรับผู้เริ่มต้นและนักพัฒนาที่มีระดับประสบการณ์มากขึ้น
1.2 หลักสูตรออนไลน์จาก WordPress.org:
- WordPress.org Learn: มีหลายบทเรียนและทรัพยากรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ WordPress และการพัฒนาบน WordPress.org Learn
1.3 การบริการคอร์สออนไลน์ที่ปรับตัวเอง:
- LinkedIn Learning: มีคอร์สที่หลากหลายใน LinkedIn Learning เช่น WordPress Essential Training, Advanced WordPress Development, และอื่น ๆ
2. อีเวนต์ที่เกี่ยวข้อง:
2.1 WordCamps:
- WordCamp: WordCamp เป็นการประชุมที่จัดขึ้นทั่วโลกเพื่อนักพัฒนา, นักออกแบบ, และผู้ที่สนใจใน WordPress มีการนำเสนอบทความ, การฝึกอบรม, และโอกาสในการนำเสนอผลงาน
2.2 Webinars และ Meetups:
- Webinars: บางทีมีเว็บการศึกษาที่จัด Webinars เกี่ยวกับ WordPress ที่เน้นเรื่องเฉพาะ
- Meetups: กลุ่ม Meetup ในพื้นที่ใกล้เคียงอาจจะจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ WordPress, เช่นการเรียนรู้จากกัน, การพบปะ, และการแบ่งปันประสบการณ์
การเรียนรู้ผ่านคอร์สออนไลน์และการเข้าร่วมอีเวนต์เกี่ยวกับ WordPress ช่วยให้ได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ WordPress และนอกจากนี้, มีโอกาสในการเชื่อมโยงกับชุมชน WordPress และนำเสนอคำถามหรือแนวคิดร่วมกัน
สร้างโปรไฟล์ส่วนตัว:
- สร้างโปรไฟล์บนเว็บไซต์ที่มีชุมชนนักพัฒนา เช่น GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เพื่อแสดงผลงาน

การสร้างโปรไฟล์บนเว็บไซต์ที่มีชุมชนนักพัฒนา เช่น GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เป็นการสร้างตัวตนออนไลน์ที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ที่สนใจในสายงานที่เกี่ยวข้อง
1. GitHub:
1.1 สร้างบัญชี GitHub:
- ไปที่เว็บไซต์ GitHub: เข้าไปที่ GitHub และสร้างบัญชีใหม่
- กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัว, เพิ่มรูปภาพโปรไฟล์, และตั้งค่าส่วนตัว
1.2 สร้าง Repository:
- คลิกที่ปุ่ม “New”: บนหน้าหลัก GitHub, คลิกที่ปุ่ม “New” เพื่อสร้าง Repository ใหม่
- ตั้งชื่อ Repository: ตั้งชื่อและคำอธิบายสำหรับ Repository
- อัพโหลดโค้ด: ใส่โค้ดที่สร้างเสร็จแล้วหรือคลิกที่ “Initialize this repository with a README” เพื่อสร้าง README.md และอัพโหลดโค้ด
1.3 แสดงผลงาน:
- การเพิ่มผลงาน: ใน Repository, สร้างโฟลเดอร์หรืออัพโหลดโค้ด เพิ่มไฟล์ README.md ที่อธิบายเกี่ยวกับโปรเจค
- การใช้ GitHub Pages: หากต้องการแสดงผลงานออนไลน์, ใช้ GitHub Pages เพื่อโฮสต์เว็บไซต์ส่วนตัว
2. Stack Overflow:
2.1 สร้างบัญชี Stack Overflow:
- ไปที่เว็บไซต์ Stack Overflow: เข้าไปที่ Stack Overflow และสร้างบัญชีใหม่
- กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัวและตั้งค่าบัญชี
2.2 เข้าร่วมและตอบคำถาม:
- เข้าร่วมคอมมิวนิตี้: เข้าร่วมคอมมิวนิตี้และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักพัฒนา
- ตอบคำถาม: ตอบคำถามที่มีประโยชน์และแบ่งปันความรู้กับนักพัฒนาคนอื่นๆ
2.3 แสดงประสบการณ์:
- การแสดงประสบการณ์ในโปรไฟล์: แก้ไขโปรไฟล์ของพักพัฒนาโดยเพิ่มประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง, การทำงาน, และความเชี่ยวชาญ
- การแนะนำตัว: สร้างสรรค์หัวข้อเกี่ยวกับตัวผู้พัฒนาและความเชี่ยวชาญของผู้พัฒนา
3. WordPress.org:
3.1 สร้างบัญชี WordPress.org:
- ไปที่เว็บไซต์ WordPress.org: เข้าไปที่ WordPress.org และล็อกอินหรือสร้างบัญชีใหม่
- กรอกข้อมูลส่วนตัว: กรอกข้อมูลส่วนตัวและตั้งค่าบัญชี
3.2 แสดงผลงาน:
- การเพิ่ม Themes หรือ Plugins: แสดงผลงานที่เสร็จแล้วโดยสร้าง Themes หรือ Plugins และอัพโหลดลงใน Directory ของ WordPress.org
- การเข้าร่วม Support Forums: สร้างบทความหรือตอบคำถามใน Support Forums เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญของผู้พัฒนา
การสร้างโปรไฟล์บน GitHub, Stack Overflow, หรือ WordPress.org เป็นวิธีที่เจ้าของผลงานสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในโลกออนไลน์ นอกจากนี้, การมีโปรไฟล์ที่มีประสบการณ์และผลงานที่ชัดเจนยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในชุมชนนักพัฒนา